A visit to a small province in Thailand that brings back memories of my childhood. A lot of Thai people, even my friend who’s from there kept telling me, “There is noting in Pichit”, but somehow I always wanted to see about this with my own eyes. When I was in grade school, we read a folklore about “The Legend of Chalawan – the Crocodile King” which took place in Pichit. (Read more here about the legend).
I remembered, very much like Jane Eyre or Belle in Beauty and the Beast, I would read and imagined how each place would look like, the cave, the river, etc. And in my young life, I always wanted to visit where it all took place… Decades later, I got my wish granted.
Since my return to Thailand over 2 years ago, I’ve been searching for places with old ways of life — especially in Chiangmai, my hometown — to no avail. Chiangmai has changed dramatically and the old ways are hard to find except for those put on show for tourists.
Pichit is not like that, my friend said, the place is the same as when she was young. It’s just amazing. There are old stores, old markets, old barbers, etc. Money goes a long way here too. I was shocked — food was just sooo delicious and inexpensive and the cooks were so nice and kind. People are super friendly and nice — They would literally go out of their way to help you. The beautiful charm of small towns that are disappearing fast. I have countless stories to bring back with me to Bangkok while I’m telling myself, “I’ll be back again for sure.”
Oh! and of course, I did get to say hello to the Crocodile King 🙂
“พิจิตรไม่มีอะไรเลยพี่” เพื่อนบอก เมื่อฉันร้องขอตามไปเที่ยวบ้านเธอด้วย
“นั่นแหละ ไม่เป็นไรๆ พี่อยากไปถิ่นชาละวันอ่ะ อ่านเรื่อง ไกรทอง ตะเภาแก้ว ตะเภาทอง มาตั้งแต่เด็ก พี่อยากไปเห็น” เพื่อนเลยยอมให้ไปด้วย จริงๆ ฉันเข้าใจผิดมาตั้งน้านนนนแสนนานว่า เรื่องชาละวันน่ะ เกิดในบึงบรเพ็ด — โอ้โห ความรู้รอบตัวเยี่ยมมาก เพื่อนก็งง แหม ก็เราไม่รู้จักบึงอื่นเลยนี่หว่า ดังนั้นจึงขอมาแก้ข่าวว่า ชาละวันน่ะ เค้าอยู่ที่บึงสีไฟ ที่พิจิตรจ้ะ ไม่ใช่บึงบรเพ็ด (ซึ่งอยู่นครสวรรค์ )
ตั้งแต่กลับมาอยู่เมืองไทยกว่าสองปีแล้ว ก็เสาะแสวงหาวิถีเก่าๆ สมัยเรายังเด็ก ตามประสาคนเริ่มเข้าสู่วัยอันควร ก็เริ่มย้อนกลับไปหาอดีต โดยเฉพาะที่เชียงใหม่ บ้านเกิด แต่เดี๋ยวนี้ เชียงใหม่เปลี่ยนไปจนหาวิถีที่ว่าแทบจะไม่เจอแล้ว นอกจากที่มีให้นักท่องเที่ยวได้ดู ดังนั้น การมาเมือง พิจิตรที่ไม่มีอะไรนี้ ทำให้ได้อะไรกลับไปเยอะแยะมาก ในความรู้สึก ผู้คนน่ารักสุดๆ อย่างไม่น่าเชื่อ – เราไปกันในวันมาฆบูชาพอดี ก็อยากไปเวียนเทียน ตอนแรกไปวัดท่าหลวง ที่มีหลวงพ่อเพชรประดิษฐานอยู่ แต่คนเยอะ เราเลยเปลี่ยนใจไปกันที่วัดโพธิ์ประทับช้างที่เป็นวัดที่พระเจ้าเสือสร้าง เป็นวัดโบราณ สวยงามเหลือเกิน แต่ไม่ได้เตรียมอะไรไปเลย ก็เลยถามน้องผู้หญิงคนนึงว่าซื้อดอกไม้ธูปเทียนที่ไหน เค้าก็ชี้ไปไกลพอสมควร เราก็เลยบอกว่า อ่อ ไปเป็นไรล่ะ ลำบาก เราไหว้มือเปล่าเอาก็ได้ ปรากฏว่า น้องขี่มอร์เตอร์ไซค์ไปซื้อมาให้ แถมไม่เอาตังค์ เสร็จแล้วยังตามมาคอยดูแล เอากระดาษแข็งรองน้ำตาเทียนมาให้ บอกว่า กลัวเทียนจะหยดโดนมือพี่ เราอึ้ง ประทับใจที่สุด ความมีน้ำใจขนาดนี้ หาได้ยากเหลือเกินในเมืองหลวงในยุคปัจจุบัน … เราโชคดีมากๆ ที่ได้อยู่ท่ามกลางความมีใจบุญกุศลอย่างแท้จริง ในวันมงคลเช่นนั้น … แค่เรื่องนี้เรื่องเดียว เราก็กลับบ้านก็อย่างยิ้มแก้มปริแล้ว
นอกจากนี้ อาหารที่นี่อร่อยมากๆๆ แถมราคาย่อมเยา มีตังค์ 500 นี่เลี้ยงอาหารเย็นเพื่อนได้เลย ส่วนคน ก็เหมือนรู้จักกันทั่วไป หัวบ้านท้ายบ้าน ดูเผินๆ ความรู้สึกเหมือน ลำพูน บ้านเกิดแม่ฉันเลย เพิ่งรู้ว่า พิจิตรมีแม่น้ำ 2 สายไหลผ่านแน่ะ แม่น้ำยม และ แม่น้ำน่าน ซึ่งน่าสนใจมากๆ